สสว.–ธรรมศาสตร์ ร่วมค้นหาแนวทางเสริมแกร่ง SME ไทย ด้วยกองทุนรูปแบบใหม่ สู้ภัยวิกฤตเศรษฐกิจ
สสว. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เฟ้นหาแนวทางการส่งเสริม SME เป้าหมายเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการช่วยเหลือ ลดภาระด้านงบประมาณของภาครัฐ และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เตรียมประยุกต์ใช้แนวทางของกองทุนประกันความเสี่ยง (BSMRS) จากประเทศญี่ปุ่น ด้วยการผนึกกำลังทั้ง SME ธุรกิจรายใหญ่ และภาครัฐ ภายใต้การวางรากฐานระบบที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ช่วยให้ SME เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ SME ที่มีมากกว่า 3.2 ล้านรายทั่วประเทศ และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ที่สำคัญยังขาดมาตรการรองรับเมื่อเกิดวิกฤติต่างๆ ในฐานะที่ สสว. มีภารกิจในการจัดทำนโยบายและมาตรการส่งเสริม SME ให้สามารถอยู่รอด แข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน จึงได้แสวงหาแนวทางการส่งเสริม SME ในรูปแบบต่างๆ โดยในปี 2568 นี้ สสว. ร่วมกับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค้นหารูปแบบและกลไกการส่งเสริม SME ที่จะสามารถสร้างความคล่องตัวในการสนับสนุนและช่วยเหลือที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ลดอุปสรรคจากงบประมาณภาครัฐที่มีจำกัด มีความต่อเนื่องและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
โดยในการรวบรวมข้อมูลรูปแบบและระบบการสนับสนุน SME จากหลายประเทศ โดยเฉพาะรูปแบบ “กองทุน” พบว่า ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบการสนับสนุน SME ที่น่าจะเป็นต้นแบบในการนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย จำนวน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) Hometown Tax ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกบริจาคภาษีให้ท้องถิ่น พร้อมรับสิทธิประโยชน์ตอบแทนเป็นสินค้าของ SME ในท้องถิ่น และ 2) Business Safety Mutual Relief System–BSMRS โดย SME จ่ายเงินสมทบเป็นรายเดือนและสามารถขอรับการช่วยเหลือยามประสบวิกฤติ เช่น ขาดสภาพคล่องหรือลูกค้าล้มละลาย โดยมีลักษณะคล้าย “เงินออมที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันของกิจการ” และยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มจำนวน
ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความเป็นไปได้ โดยการสำรวจ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พบว่า โมเดล BSMRS มีศักยภาพสูงในการนำมาประยุกต์ใช้ในไทย เพราะไม่เพียงช่วยสร้างวินัยทางการเงิน แต่จะช่วยลดการล้มแบบลูกโซ่ (Domino Effect) ที่ SME มักเผชิญเมื่อคู่ค้าล้ม หรือเมื่อสภาพคล่องสะดุด อีกทั้งยังสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานโดยรวม ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่เนื่องจากบริบทของประเทศไทยมีความแตกต่างจากประเทศญี่ปุ่น การจะทำให้โมเดล BSMRS มีความเข้มแข็งและสามารถสนับสนุนช่วยเหลือ SME ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกภาคส่วนมีความเห็นร่วมกันว่า ภาคธุรกิจรายใหญ่ ควรมีส่วนร่วมสมทบกองทุน เพื่อเสริมความแข็งแรงของระบบและสร้างความเชื่อมั่นให้ SME ช่วยลดภาระของภาครัฐ และยังเป็นการสร้าง “พันธมิตรเศรษฐกิจ” ที่ยั่งยืนระหว่างธุรกิจรายเล็กกับรายใหญ่ และมีความเป็นไปได้ในการดำเนินงานจริง
“รูปแบบการส่งเสริม SME นี้ ไม่ใช่เพียงการผลักดันเครื่องมือทางการเงิน แต่คือการแสวงหากลไกที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้ SME ไทย ยืนหยัดและพร้อมก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต ภายใต้กลไกที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีแรงจูงใจที่ชัดเจน จะทำให้ SME ไทยไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังสามารถช่วยให้ SME กลับมาแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่งทั้งเวทีในประเทศในเวทีโลก ภายใต้สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้น” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว
อย่างไรก็ดี ผลที่ได้จากการศึกษาแนวทางการส่งเสริม SME ในรูปแบบกองทุนนี้ สสว. จะนำไปต่อยอดโดยการจัดทำรายละเอียดทั้งกลไก รูปแบบ วิธีการ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนการดำเนินงาน พร้อมทั้งวางรากฐานระบบที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ก่อนจะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหาร สสว. และคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายในการส่งเสริม SME ของประเทศ ที่ช่วยลดภาระการใช้งบประมาณรัฐ มาเป็นการสร้างระบบที่ทุกฝ่ายร่วมกันรับผิดชอบ ในการส่งเสริม สนับสนุน ให้ SME สามารถดำเนินธุรกิจฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจทั้งในประเทศและเศรษฐกิจโลก และเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น